วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554

กิจกรรมที่ 11

1.การวิเคราะห์หลักสูตร คือ วามทันสมัยในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นสื่อที่ใช้ในการเรียนการสอน อุปกรณ์ที่ช่วยเสริมไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต สองสิ่งนี้นับว่ามีอิทธิพลต่อการศึกษาเพราะเป็นแหล่งคนหาข้อมูลสำคัญๆที่เป็นแหล่งที่หาได้ง่ายที่สุดและใกล้ตัวมากที่สุด
ในด้านเนื้อหาของหลักสูตรเห็นได้ว่ามีการปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับนักเรียนมากที่สุดและเพื่อให้เข้ากับสถานศึกษาด้วยเพราะบางสถานศึกษามีจำนวนของครูผู้สอนที่ไม่เพียงพอจึงทำให้บางวิชาไม่ได้เรียนหรือได้เรียนน้อยกว่าวิชาอื่นๆ
2. การวิเคราะห์ผู้เรียน คือ เป็นการวิเคราะห์ลักษณะผู้เรียนเพื่อที่ผู้สอนจะได้ทราบว่าผู้เรียนมี ความพร้อมในการเรียนมากน้อยเพียงใดทั้งนี้เพราะการที่จะใช้สื่อให้ได้ผลดีย่อมจะต้องเลือกสื่อให้มีความสัมพันธ์กับลักษณะผู้เรียน ดังนั้นผู้สอนจะต้องคำนึงถึงลักษณะทั่วไปและลักษณะเฉพาะของผู้เรียนเช่น การกำหนดลักษณะทั่วไป ซึ่งได้แก่  อายุ  ระดับความรู้  สังคม
เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของผู้เรียนแต่ละคน ถึงแม้ว่าลักษณะทั่วไปของผู้เรียนจะไม่มี
ความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาบทเรียนก็ตามแต่ก็เป็น สิ่งที่ช่วยให้ผู้สอนสามารถตัดสินระดับของบท
และเพื่อเลือกตัวอย่างของเนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้เรียนได้  ส่วนลักษณะเฉพาะของผู้เรียนแต่ละคนนั้นนับว่ามีส่วนสำคัญโดยตรงกับ เนื้อหาบทเรียนตลอดจนสื่อการสอนและวิธีการที่จะ
นำมาใช้ในการสอน 
     3. การจัดกิจกรรมที่หลากหลาย คือ การจัดกิจกรรมโดยวิธีต่าง ๆ อย่างหลากหลายที่มุ่งให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริงเกิดการพัฒนาตนและสั่งสมคุณลักษณะที่จำเป็นสำหรับการเป็นฯสมาชิกที่ดีของสังคมของประเทศชาติต่อไปการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่มุ่งพัฒนาผู้เรียน จึงต้องใช้เทคนิควิธีสอนวิธีการเรียนรู้รูปแบบการสอนหรือกระบวนการเรียนการสอนในหลากหลายวิธีซึ่งจำแนกได้ดังนี้
  การจัดการเรียนการสอนทางอ้อม ได้แก่ การเรียนรู้แบบสืบค้น
 เทคนิคการศึกษาเป็นรายบุคคล  ได้แก่  วิธีการเรียนแบบศูนย์การเรียน แบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง
เทคนิคการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ประกอบการเรียน เช่น การใช้สิ่งพิมพ์ ตำราเรียน
            4. การใช้เทคโนโลยีเป็นแหล่งและสื่อการเรียนรู้ของตนเองและนักเรียน เป็นการสอนโดยนำสื่อต่างๆและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและมีความทันสมัยในกระบวนการเรียนเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆจากสื่อมากขึ้น
            5. การวัดและประเมินผลตามสภาพจริงอย่างรอบด้านและเน้นพัฒนาการ เป็นกระบวนการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่สามารถวัดได้ครอบคลุมทั้งเนื้อหาวิชา พฤติกรรม และผลผลิตของผู้เรียน
- การวัดเป็นกระบวนการในการกำหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์ใดๆในเชิงปริมาณอย่างเป็นระบบ
- การประเมินผลนำผลที่ได้จากการวัดมาใช้ในการตัดสินใจโดยการนำผลการวัดมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ในด้านพัฒนาการต่างๆของผู้เรียน
6. การใช้ผลการประเมินเพื่อแก้ไขปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เต็มศักยภาพ จะทำให้ผู้ประเมินรู้ว่าผลการเรียนของเด็กแต่ละคนมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนมากน้อยเพียงใดและจะได้ปรับปรุงพัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้ตรงกับความต้องการของผู้เรียนว่าผู้เรียนมีความสามารถที่จะรับและเข้าใจเรื่องที่เรียนเพียงใดจะได้พัฒนาผู้เรียนอย่างถูกต้อง
7. การใช้การวิจัยปฏิบัติการในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้ของนักเรียนและการสอนของตน เป็นการทำวิจัยโดยครูผู้สอนในชั้นเรียน เพื่อแก้ปัญหาในชั้นเรียน และนำผลมาใช้ในการปรับปรุงการจัดประสบการณ์ของครู ถือได้ว่าการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และสร้างความรู้ในการปฏิบัติงานของครู

      ตัวอย่างออกแบบการจัดการเรียนรู้
แผนการจัดการเรียนรู้ที่
กลุ่มสาระการเรียนรู้     สังคมศึกษา  ศาสนา  และวัฒนธรรม       ชั้น     มัธยมศึกษาปีที่ 1
ภาคเรียนที่     2    ปีการศึกษา    2551   ชื่อวิชา    สังคมศึกษา   ศาสนาและวัฒนธรรม  5  
( 31101 )
หน่วยการเรียนรู้ที่    1    เรื่อง     วิธีการทางประวัติศาสตร์กับการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย
แผนการจัดการเรียนรู้ที่    2    จำนวน    3    ชั่วโมง   
1. มาตรฐานการเรียนรู้/ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน  4.1  เข้าใจความหมาย  ความสำคัญของเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์  สามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์บนพื้นฐานของความเป็นเหตุเป็นผลมาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
มีความรู้ความเข้าใจวิธีการสืบค้นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์โดยอาศัยหลักฐานทางประวัติศาสตร์และสามารถจำแนกยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ตามหลักเกณฑ์การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์เพื่อสรุปถึงความสำคัญในความต่อเนื่องของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์

2. สาระการเรียนรู้
            1. ความหมาย   ลักษณะ    ประเภทและความสำคัญของหลักฐานทาง           ประวัติศาสตร์ไทย
            2.  ความหมาย  ความสำคัญ  และขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์
            3.  ตัวอย่างการวิเคราะห์และตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไทย
            4.  การสร้างองค์ความรู้ใหม่ของประวัติศาสตร์ไทยด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์

3.  จุดประสงค์การเรียนรู้
            3.1  จุดประสงค์ปลายทาง
            สามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์บนพื้นฐานของความเป็นเหตุเป็นผลมาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ
            3.2  จุดประสงค์นำทาง
            1. จำแนกประเภทของหลักฐาน และประเมินคุณค่าของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ใช้ในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยได้
2.วิเคราะห์  เปรียบเทียบความแตกต่างของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ใช้ในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยได้
3.รู้และเข้าใจความหมาย ความสำคัญ  และขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์
            4.รู้จักวิธีการทางประวัติศาสตร์ ในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์
4. เนื้อหาสาระ
            วิธีการทางประวัติศาสตร์เป็นกระบวนการ หรือขั้นตอนที่ใช้ในการศึกษาประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องราวของมนุษย์ในอดีตให้มีความสมบูรณ์  น่าเชื่อถือ  ใกล้เคียงกับความจริง  โดยอาศัยจากหลักฐานทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร  ผ่านการรวบรวมข้อมูล  วิเคราะห์และประเมินคุณค่าทางหลักฐาน  เลือกสรรและจัดหาความสัมพันธ์ของข้อมูลสุดท้ายหรือการเรียบเรียงและนำเสนอ

5. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ชั่วโมงที่  1
            ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
                        1. ครูนำนักเรียนสนทนาเพื่อทบทวนความรู้เดิม  เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ตอบ        คำถามที่อาจจะมีผิดบ้างถูกบ้าง
                        2. นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน
                        3. ครูชี้แจงจุดประสงค์การเรียนที่ต้องการให้นักเรียนสามารถอธิบายถึงความหมาย  ความสำคัญของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และขั้นตอนทางประวัติศาสตร์ได้
ขั้นสอน
                        4. อธิบายถึงความหมายของหลักฐานทางประวัติศาสตร์   หลักเกณฑ์การจำแนกหลักฐานทางประวัติศาสตร์แบบสากล
                        5. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มละ 5 คน โดยให้นักเรียนศึกษาในเรื่อง
                               5.1 ลักษณะของหลักฐาน 
                                     -   หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร
                                    -   หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
                               5.2 ประเภทของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไทย
                                     -   หลักฐานชั้นต้น ( หลักฐานปฐมภูมิ )
                                      -   หลักฐานชั้นรอง ( หลักฐานทุติยภูมิ )
                        โดยให้นักเรียนศึกษาจากหนังสือเรียนวิชาประวัติศาสตร์มัธยมศึกษาปีที่ โดยให้นักเรียนทำเป็นแผนผังความคิด  โดยทำให้มีความน่าสนใจ  กำหนดเวลา 10 นาที
            6. ให้ตัวแทนนักเรียนในแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลงานของกลุ่มตนเอง
            7. ครูอธิบายเพิ่มเติมจากที่นักเรียนออกมานำเสนอผลงานของกลุ่มตน
ขั้นสรุป
            8. ครูให้ตัวแทนนักเรียนออกมาสรุปเนื้อหาที่เรียน

ชั่วโมงที่  2
ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
            1. ครูนำสนทนาเพื่อทบทวนความรู้เดิมและนำเข้าสู่บทเรียนเกี่ยวกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ที่นักเรียนเคยเรียนมาแล้ว  และเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ตอบคำถามที่ผิดบ้างถูกบ้าง
ขั้นสอน
            2. ครูอธิบายถึงวิธีการทางประวัติศาสตร์  ความหมาย  ความสำคัญ  และขั้นตอนวิธีการทางประวัติศาสตร์
            3. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มละ  5  คน  ศึกษาวิธีการทางประวัติศาสตร์จากหนังสือประวัติศาสตร์มัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยสรุปเป็นแผนผังความคิด
            4. ครูให้ตัวแทนนักเรียนออกมานำเสนอแผนผังความคิดของกลุ่มตนเอง
            5. ครูสรุปเพิ่มเติมให้กับนักเรียนอีกครั้ง
            6. ครูสั่งให้นักเรียนไปเตรียมหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากลุ่มล่ะ 1 ชิ้น
ขั้นสรุป
            7. ครูให้ตัวแทนนักเรียนสรุปเนื้อหาที่เรียน

ชั่วโมงที่           3
ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
            1. ครูให้ตัวแทนนักเรียนออกมาทบทวนเนื้อหาที่เรียนไปในคาบที่แล้ว
ขั้นสอน
            2. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มล่ะ 5 คน  ให้นักเรียนศึกษาหลักฐานที่เตรียมมาจากที่ครูสั่งในคาบที่แล้ว  โดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ที่ครูสอนในคาบที่แล้ว  โดยกำหนดเวลา  15  นาที
            3. ครูให้นักเรียนออกมานำเสนอผลงานในการศึกษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่นักเรียนนำมา 
            4. ครูช่วยเสนอแนะในการใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ในการศึกษาหลักฐานให้นักเรียนอีกครั้ง
ขั้นสรุป
            5. ครูให้นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน
            6. ครูให้ตัวแทนนักเรียนกล่าวสรุปอีกครั้ง

กิจกรรมที่ 10


ให้นักศึกษาได้ศึกษาเหตุการณ์ในประเด็นต่อไปนี้
     เหตุการณ์ที่ผ่านมาเกิดขึ้นกับประชาชนและประเทศไทยให้นักศึกษาอ่านและศึกษาข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ Internet  Blog ต่าง ๆ และแสดงความคิดเห็นสรุปวิเคราะห์สังเคราะห์ ลงในบล็อกของนักศึกษาในกิจกรรมที่ 10
                แสดงความคิดเห็น สรุป วิเคราะห์ และสังเคราะห์ เกี่ยวกับกรณีเขาพระวิหารจังหวัดศรีสะเกษกรณีพื้นที่ชายแดน จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดสระแก้ว ตราด เกาะกรูด ทะเลในอ่าวไทย  , กรณี MOU43 ของรัฐบาลนายชวนหลีกภัย, กรณี คนไทย 7 คน 
                 1) คดีปราสาทเขาพระวิหาร เป็นความขัดแย้งระหว่างราชอาณาจักรกัมพูชากับราชอาณาจักรไทย ซึ่งเริ่มเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2501 ในการอ้างสิทธิเหนือบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งตั้งอยู่ที่ชายแดนไทยด้านอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษและชายแดนกัมพูชาด้านจังหวัดพระวิหาร ปัญหาดังกล่าวเกิดจากการที่ทั้งไทยและกัมพูชา ถือแผนที่ปักปันเขตแดนตามแนวสันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรักคนละฉบับ ทำให้เกิดปัญหาพื้นที่ทับซ้อนของทั้งสองฝ่ายในบริเวณที่เป็นที่ตั้งของตัวปราสาท โดยทั้งฝ่ายกัมพูชาและฝ่ายไทยได้ยินยอมให้มีการพิจารณาปัญหาดังกล่าวขึ้นที่ ศาลโลกได้ตัดสินให้ตัวปราสาทเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา เม จนกระทั่ง 2-3ปีที่ผ่านมาความขัดแย้งเริ่มทวีความรุนแรง ขึ้นเมื่อกัมพูชาพยายามผลักดันเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งรวมถึงพื้นที่บริเวณข้างๆเขาพระวิหารที่ด้วยมีปัญหาคือพื้นที่นี้เป็นพื้นที่ พิพาทกันอยู่ ต่อมาในช่วงที่ผ่านมาเกิดเหตุคนไทยถูกจับกุมในพื้นที่ พิพาทนี้ทำให้มีปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้อยู่ในปัจจุบัน
         
2)  กรณีพื้นที่ชายแดน จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดสระแก้ว ตราด เกาะกรูด ทะเลในอ่าวไทย
เป็นพื้นที่ที่ยังพิพาทกันอยู่เป็นเขตแดนที่ทั้งสองฝ่ายอ้างว่าเป็นของตนเองซึงเป็นเหตุให้มีปัญหาทั้งเรื่องของการจดทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก และกรณีคนไทยถูกจับกุมตัวเพราะพื้นที่ดังกล่าวมีผลประโยชน์แฝงอยู่อาทิ เช่น   ทะเลในอ่าวไทยมีก๊าซธรรมชาติอยู่ถ้าฝ่ายใดได้ก็จะมีอภิสิทธิ์เต็มที่   เกาะกรูดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งมีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจ เป็นต้น
    3)  กรณี MOU43 ของรัฐบาลนายชวนหลีกภัยมีผลต่อการจัดการพื้นที่ชายแดนอย่างไร หากมีการนำมาใช้จะก่อให้เกิดปัญหากับพี่น้องประชาชนในจังหวัดที่มีพื้นที่ติดกับชายแดนไทยกับกัมพูชาอย่างไร
               นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์กรณีที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้มีการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทยกับกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมกัน พ.ศ. 2543 ว่า ต้องการให้คนที่มีความเข้าใจ และเกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าวเป็นผู้พูด
โดยเฉพาะ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ และ   ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อดีตรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในขณะนั้น และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน
            สาเหตุที่มีการทำ MOU ดังกล่าว เพราะขณะนั้นมีข้อขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และทั้ง 2 ฝ่าย พยายามหาข้อยุติร่วมกัน ในการปักปันเขตแดน โดยการปักปัน ก็เป็นไปตามกระบวนการที่ตกลงกันไว้ และแต่ละฝ่ายต้องไม่ละเมิดพื้นที่ จึงยืนยันได้ว่าการดำเนินการดังกล่าว ไม่ได้ทำให้ไทยเสียเปรียบ
           ผลของMOU 43 ทำให้กรณีพิพาทนี้ยุ่งเข้าไปอีกทำให้หาข้อยุติไม่ได้ ซึ่งในปัจจุบันหากนำมาในจะทำให้พื้นที่พิพาทหรือพื้นที่ทับซ้อนตกเป็นของกัมพูชาซึ่งทำให้ไทยเสียเปรียบกัมพูชาเพราะ MOU 43มีการจัดทำแผนที่ มาตราส่วน 1:200,000
  4)  กรณี คนไทย 7 คน ประกอบด้วย สส.พรรคประชาธิปัตย์  (นายพนิต)  ประชาชนหัวใจรักชาติ (นายวีระ สมความคิด นายแซมดิน  นายตายแน่  มุ่งมาจนและผู้ติดตามผู้หญิงอีก 2 ท่าน) ร่วมกับสส.ไปตรวจพื้นที่ที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ในการแบ่งเขตพื้นที่ชายแดน และถูกทหารกับพูชากับจับหรือลักพาตัวไปขึ้นศาลประเทศกัมพูชาในฐานะที่นักศึกษาเรียนวิชาสังคม จะนำความรู้มาอธิบายให้นักเรียนของท่านได้รับรู้ข้อมูลอย่างไร  โปรดสรุปและแสดงความคิดเห็น
 ในกรณีนี้ไม่แน่นอนอยู่ว่าไทยลุกล้ำดินแดนของกัมพูชาอย่างไรเพราะเป็นพื้นที่ติดกันและมีข้อพิพาทกันอยู่ ดังนั้นรัฐบาลจะต้องช่วยเหลือคนเหล่านี้โดยเร็วที่สุดโดยใช้ความเด็ดขาดไม่ยินยอมและอ่อนแอ อย่างนี้ทำให้กัมพูชาได้ใจและหาเรื่องอยู่คลอดอยู่ที่การตัดสินใจของรัฐบาลซึ้งมีความสำคัญมาก และขอร้องให้นายกและรัฐบาลชุดนี้จัดการปัญหาให้เสร็จไปคนไทยจะได้ไม่เป็นเหยื่อของการพิพาทของดินแดนอีกต่อไป

กิจกรรมที่ 9

กิจกรรมที่ 9
สรุปประเด็นสำคัญ (โทรทัศน์สำหรับครู)
เรื่อง การจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัยโดยใช้วรรณกรรมพื้นฐาน
ดร. นฤมล เนียมหอม
ดร. นฤมล เนียมหอม โรงเรียนทุ่งมหาเมฆ ได้จัดการสอนโดยใช้นิทานซึ่งนิทานมีผลต่อเด็กมากครูสามารถออกแบบกิจกรรมโดยเริ่มจาก
       -  สังเกตเด็กว่าชอบนิทานเรื่องใดมากที่สุด
      -   บูรณาการเวลาที่ครูออกแบบ
      -   เด็กกระทำหรือเปล่า ดูเด็กเป็นหลัก
     -   ให้เด็กเรียนรู้สิ่งที่เขาชอบได้หรือเปล่า
การประยุกต์กิจกรรมประสบการณ์เชิงสร้างสรรค์ เด็กได้เรียนรู้ในตัวละคร ได้คิดวิเคราะห์ว่าตัวละครมีนิสัยอย่างไร ลำดับเหตูการณ์ได้ถูกต้อง

นิทานมีผลต่อเด็กมากครูจะดำเนินกิจกรรมโดยบรูณาการสอนสอดแทรกอยู่ใน6 กิจกรรมการเรียน เช่น
    -  การประยุกต์กิจกรรมผ่านประสบการณ์สอดแทรกในกิจกรรม
    -   ประยุกต์กิจกรรมเคลื่อนไหวจากนิทาน
    -   ประยุกต์กิจกรรมโดยการแสดงละคร
การสอนแบบบรูณาเหมาะสำหรับพัฒนาเด็กมากกิจกรรมนี้ให้เด็กลงมือทำและส่งเสริมให้เด็กกล้าแสดงออก และได้ฝึกพูด   
      จากแนวคิดพื้นฐานที่ว่า "นิทาน" เป็นสิ่งที่เด็กเข้าถึงได้ง่าย เรื่องราวในนิทานมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างเสริมจินตนาการให้แก่เด็กการนำนิทานมาเป็นสื่อหลักในการจัดประสบการณ์จึงเป็นเทคนิคที่จะช่วยให้เด็กประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ได้ง่ายยิ่งขึ้น   คุณครูแมว ดร. นฤมล เนียมหอม จึงได้คิดองค์ความรู้การจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัยโดยใช้วรรณกรรมเป็นฐานโดยเริ่มต้นจากกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย จนมาทำเป็นเต็มรูปแบบในโรงเรียนทุ่งมหาเมฆตั้งแต่ปี 2550 โดยในขั้นตอนการเรียนรู้เด็ก ๆ จะเป็นผู้เลือกนิทานด้วยตัวเอง จากนั้นคุณครูจะนำนิทานที่เด็ก ๆ เลือกมาประยุกต์ใช้ในการคิดกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ของเด็ก ๆ ทั้ง 6 กิจกรรม วิธีนี้จะทำให้เด็ก ๆ สนุกกับการเรียนรู้เหมือนอยู่ในโลกนิทานตลอดทั้งวัน
อาชีพครูจะต้องมีคุณสมบัติอย่างไร  ความมีระเบียบวินัย , ความซื่อสัตย์สุจริตและความยุติธรรม  ความขยัน ประหยัด และยึดมั่นในสัมมาอาชีพ  ,ความสำนึกในหน้าที่และการงานต่าง ๆ รวมไปถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติ, ความเป็นผู้มีความคิดริเริ่ม วิจารณ์และตัดสินอย่างมีเหตุผล,ความกระตือรือร้นในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย มีความรักและเทิดทูน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์   , ความเป็นผู้มีพลานามัยที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
การเป็นครูที่ "ดี" นั้น ต้องประกอบด้วยคุณสมบัติต่างๆดังนี้
1. ปรับปรุงการเรียนการสอนให้ทันสมัยและเหมาะสมอยู่เสมอ
2. มีความปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้เรียนให้ประสบความสำเร็จในทุกด้าน
3. มีบุคลิกภาพที่ดี
4. มีความรู้ความชำนาญในงานที่สอน
5. มีความอดทน
6. มีลักษณะซึ่งผู้เรียนให้ความไว้วางใจ
7. มีความกระตือรือร้นในการถ่ายทอดความรู้
8. มีความจริงใจ
9. มีลักษณะเป็นผู้นำ